สุขได้เดี๋ยวนี้


ย้อนกลับ …..

                     Ο ประการที่สอง   ทุกขัง  ได้แก่  ความเป็นทุกข์   ถ้าอธิบายแบบง่าย ๆ ก็คือ ความทุกข์กาย  ทุกข์ใจที่เราได้รับ  แต่ถ้าอธิบายโดยลึกซึ้งแล้วสิ่งไม่มีชีวิตก็เป็นทุกข์ได้ ความเป็นทุกข์นั้นหมายความว่าไม่สามารถจะคงสภาพเดิมได้ คือ เมื่อมันไม่เที่ยงแล้วมันก็เป็นทุกข์     มันต่อเนื่องกันอย่างนี้  ไม่อาจคงสภาพเดิมได้  เราไม่อาจเป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดกาลได้  ไม่อาจมีความสุขตลอดกาลได้ ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ   อาการที่ถูกบีบคั้นโดยความเปลี่ยนแปลงไม่สามารถคงสภาพเดิมได้นี้  เรียกว่า ทุกข์   อย่างเช่น   หนังสือก็มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หนังสือที่เราพิมพ์ขึ้นมารวบรวมเป็นเล่มก็ถือว่าเกิดแล้ว ใช้ไปๆ ก็เริ่มเก่า  ก็คือมันแก่  จากนั้นก็เริ่มฉีกขาดหลุดรุ่ย  ก็คือเจ็บ สุดท้ายก็ตาย คือ สูญสลายไป    พระเถรีท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า   “ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป”    ความจริงแล้ว  อาการที่สุขเกิดขึ้น มันเป็นเพียงอาการของทุกข์ที่น้อยลงเท่านั้นเอง เหมือนเราเดินกลางแดด อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส  พอไปถึงใต้ร่มไม้อุณหภูมิ  35  องศา   เราก็ เอ้อ! ค่อยยังชั่ว  รู้สึกเป็นความสุข จริง ๆ   แล้วเป็นแค่อุณหภูมิที่ลดลงมาเท่านั้นเอง ที่จริงก็ยังร้อนอยู่   เพราะฉะนั้น   อาการสุขคือทุกข์ที่น้อยลงเท่านั้นเอง  คนส่วนใหญ่ปรารถนาความสุข แต่เขาไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร สุขที่แท้จริงคือ การไม่ถูกกิเลสบีบคั้น  คือว่างจากกิเลส   อยากโน่นอยากนี่ แล้วได้สมปรารถนา มันก็ยังทุกข์ ทุกข์เพราะการแสวงหา ทุกข์เพราะการรักษา และทุกข์เพราะการเสียไปอยู่ดี สุขที่แท้จริงคือ สุขด้วยการว่างจากกิเลส มีคนถามหลวงพ่อรูปหนึ่งว่า  “หลวงพ่อทำยังไงจึงจะไม่เป็นทุกข์”    หลวงพ่อตอบว่า   “ ก็อย่าไปสุขมันเลย”   ตัวอย่างในสมัยพุทธกาลก็มี มีผู้หญิงพากันมาถือศีลในวันพระ นางวิสาขาก็ไปถามผู้หญิงที่มีอายุต่าง ๆ กัน ถามเด็กรุ่นสาวว่าทำไมมาถือศีลฟังธรรม สาว ๆ ก็บอกว่า อยากได้อานิสงส์จะได้แต่งงานไว ๆ  มีสามีดี ๆ  ไม่อยากขึ้นคาน  พอไปถามผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกแล้ว พวกเธอก็ตอบว่า เพราะอยากจะหลีกหนีจากภาระที่บ้าน เบื่อลูก เบื่อสามี เลยมาอยู่วัดซักวันค่อยยังชั่ว  พอไปถามคนแก่   คนแก่ตอบว่า  เมื่อตายแล้วอยากไปสวรรค์เลยมาถือศีลฟังธรรม นางวิสาขาไปทูลพระพุทธเจ้า   พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสว่า ในคนเหล่านี้ทั้งหมดเหมือนกับโคที่เขานำไปสู่โรงฆ่าสัตว์ แต่ละก้าวของมนุษย์ที่เดินไปนี้  นำไปใกล้ความตายทุกขณะ  แต่ไม่มีใครเลยปรารถนาความสิ้นทุกข์ ไม่มีใครเลยที่ถือศีลฟังธรรมปฏิบัติธรรมด้วยความปรารถนาหมดกิเลส ปราศจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีเลย   คนเหล่านั้นแสวงหาสุขที่เจือด้วยทุกข์   

                      ในสังคมปัจจุบันก็เหมือนกัน  มนุษย์ทั้งสิ้นล้วนแสวงหาสุขที่เจือด้วยทุกข์  คือ แสวงหาลาภ  ยศ  สรรเสริญ  เช่น  ความมั่นคงทางทรัพย์สิน   ครอบครัวที่อบอุ่น  ตำแหน่งหน้าที่การงาน  วุฒิการศึกษาสูง ๆ  ความนิยมยกย่องต่าง ๆ ฯลฯ  แทบไม่มีใครเลยที่พยายามว่างจากกิเลส  และถ้าแสวงหาโดยไม่เลือกวิธีการด้วยแล้วก็ยิ่งซ้ำร้าย  คนเหล่านั้นแสวงหาความสุข  แต่กลับสร้างเหตุแห่งทุกข์  แล้วจะสุขได้อย่างไรกันหนอ  มนุษย์ที่น่าสงสาร   จงปรารถนาความสิ้นกิเลสเถิด  นั่นคือบรมสุขอย่างแท้จริง ….. อ่านต่อ

 

ที่มา : พระอาจารย์มหาคารม  อุตฺตมปญฺโญ (นธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., ศศ.บ., กศ.ม.) ผู้ก่อตั้งชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ(พ.ศ.2547) ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสุวรรณโคมคำ(พ.ศ.2548) และสร้างทำธรรมสถานสุวรรณาภา. (พิมพ์ครั้งที่2 พ.ศ.2552). ธรรมะชนะชาตา. กรุงเทพฯ. อินเตอร์ พริ้นท์.