สุขได้เดี๋ยวนี้


คนเหล่านั้นแสวงหาความสุข แต่กลับสร้างเหตุแห่งทุกข์ แล้วจะสุขได้อย่างไรกันหนอ…..

                      ชีวิตจะสุขได้ต้องรู้เท่ารู้ทัน รู้เท่ารู้ทันที่ว่านี้ ก็คือรู้ไตรลักษณ์ หรือเรียกอีกอย่างว่า  สามัญลักษณะ คือลักษณะที่ทั่วไป หมายความว่ามีเหมือนกันทุกผู้ทุกนามทั่วสากลจักรวาล ไม่ใช่เฉพาะโลกนี้  หลัก 3 อย่างนั้น  เป็นความจริงของชีวิตที่ไม่มีใครเลยที่จะฝืนได้ มีผู้ที่พยายามจะฝืนหลักนี้มากมาย   แต่ก็ไม่มีใครสามารถฝืนหลักนี้ไปได้  แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยังไม่พ้นจากหลักความจริงอันนี้  หลักที่ว่านี้คือหลัก อนิจจัง  ทุกข์ขัง  อนัตตา นั่นเอง   อนิจจัง คือความไม่เที่ยง   ทุกข์ขัง คือ ความเป็นทุกข์   อนัตตา คือ ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน   นี้เป็นหลักสัจธรรม  ถ้าเราเข้าถึงไตรลักษณ์อย่างแจ่มแจ้งแล้ว  ก็จะบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่ของเรายังไม่มุ่งถึงขนาดนั้นก็ได้ เอาแค่เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต แล้วเราจะได้มีทุกข์น้อย ๆ ไม่ถึงกับว่าสิ้นทุกข์  แต่เมื่อยังทุกข์อยู่ก็ให้ทุกข์น้อย ๆ บางคนอย่าว่าแต่เข้าใจ  กลับพยายามเปลี่ยนแปลงความไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา เป็นว่า เที่ยงแท้ เป็นสุขและมีตัวตน  ก็เลยมีทุกข์เยอะกันเต็มบ้าน      เต็มเมือง    ทีนี้   มาดูกันตามลำดับ

                      Ο ประการแรก   อนิจจัง  คือ ความเป็นของไม่เที่ยง  อันนี้เราจะเห็นได้อย่างชัดเจน ถ้าเป็นผู้มีสติปัญญารู้จักคิดไตร่ตรองก็จะเห็นได้ ว่ามันเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน  ถ้าพิจารณาหยาบ ๆ ก็คือ เกิดแล้วตาย ไม่มีใครเกิดแล้วไม่ตาย ไม่สามารถอยู่ชั่วนิรันดร์ได้  ถ้าพิจารณาอย่างกลางก็คือ  เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไป   ได้แก่  เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลางและดับไปในที่สุด  นี่เราก็จะเห็นได้อย่างที่ตัวเราเปลี่ยนแปลงจากเด็กทารกเป็นเด็กโต  เป็นวัยรุ่น  วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน แก่ชราและก็ถึงสิ้นชีวิต  ต้องเปลี่ยนแปลงไปไม่เที่ยงแท้ นี่เป็นอย่างกลาง ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดก็คือว่า มันจะเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะเวลา ในทางธรรมกล่าวไว้ว่าทุกขณะจิตไวมาก  ไวยิ่งกว่าวินาที  เป็นเศษเสี้ยวของวินาที  ไม่มีอะไรที่อยู่คงที่   สิ่งที่เราเห็นเหมือนกับว่าคงที่   เช่น  ก้อนหิน  เหล็ก อะไรต่าง ๆ นั้น    แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่นิ่ง  ถ้าอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ก็จะเห็นได้ชัดเช่นกัน  ซึ่งจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็รู้  ท่านก็ตรัสไว้เหมือนกัน  แต่ท่านไม่ได้ใช้ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์  ท่านใช้ศัพท์ภาษาบาลี  พวกอะตอม พวกโมเลกุลนี้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้แล้ว เรื่องปรมาณูก็เคยตรัสไว้แล้ว แม้แต่ในอะตอมหนึ่ง ๆ ก็ยังประกอบด้วยโปรตรอน นิวตรอน อิเล็กตรอน  อิเล็กตรอนก็วิ่งวนอยู่รอบ ๆ นิวเคลียส  ซึ่งเป็นโปรตรอนกับนิวตรอน มันไม่เคยหยุดนิ่งมันวิ่งจี๋เคลื่อนที่อยู่ทุกขณะ นั่นแหละคือหลักอนิจจัง ร่างกายของเราก็เหมือนกัน ไม่เคยหยุดนิ่งเลย ในแต่ละเซลมันทำงานอยู่ตลอด อย่างเลือดนี่ก็ไหลเร็วมาก ถ้าขยายด้วยกล้องจุลทรรศน์ เราก็จะเห็นเลือดวิ่งจี๋เลยไม่ได้หยุดหย่อน   คนเราเกิดและตายอยู่ทุกขณะ

                      ยกตัวอย่าง  สมมติว่าตอนเราเกิดมาใหม่ ๆ มีคนมายืมจากแม่เรา ยืมไปอุ้มหน่อย   อุ้มไปครู่เดียว  แล้วเอาตัวโต ๆ อย่างตอนนี้ไปคืนให้แม่เรา   แม่เราบอกว่าไม่ใช่  ไม่ใช่ลูกฉันแน่นอน   หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ใช่  แต่เพราะกาลเวลาเปลี่ยนแปลงทีละนิดเติบโตสืบเนื่องมา   เราจึงคิดว่าเป็นคนเดิม   จริง ๆ แล้ว  ถ้าว่ากันตามตรงเด็กคนนั้นได้ตายไปแล้ว เซลในสมัยนั้นแทบจะไม่เหลือแล้วนะ  รูปร่างก็ต่างกัน  น้ำหนักส่วนสูงก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ   กายมันจึงไม่ใช่แล้ว  รวมถึงจิตของเราก็เหมือนกัน  มันไม่เคยหยุดนิ่ง  มันก็เกิดดับสืบเนื่องทุกขณะเช่นกัน  นี่คือความไม่เที่ยง  ไม่มีใครที่จะข้ามพ้นได้   ถ้าเราเข้าใจหลักอันนี้ย่อมเห็นได้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นความเป็นจริงของธรรมชาติ  อย่างเช่น เกิดผมหงอกขึ้นบนศีรษะ  แปลกไหม  ผิดธรรมชาติไหม  ต้องไปเดือดร้อนกับมันไหม ถ้าเราอยากให้ดูดีจะย้อมก็ได้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปเดือดร้อน อย่าไปคิดมาก  อย่าไปเป็นทุกข์อะไรกับมัน รับรู้มันตามความเป็นจริง  แล้วแก้ไขเท่าที่จะทำได้  แค่นั้น  ไม่ต้องทุกข์ ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะต้องไปทุกข์กับมัน   แค่รับรู้มันเฉย ๆ    ยิ่งไปกว่านั้น  จะเห็นได้ว่า  ทั้งกายและจิตเกิดดับเร็วมาก  นั่นคือ คนเราเกิดชาติใหม่ (ชาติ -ชาตะ  หมายถึง  การเกิด) ทุกขณะ  ฉะนั้น  คนที่เคยพลาดพลั้ง  ทำผิดทำชั่ว  อย่าไปมัวเสียใจว่า ชาตินี้เอาดีไม่ได้    ฉันเป็นคนชั่ว  เป็นคนบาป  โศกเศร้าตรอมตรมจมอยู่กับอดีตทั้งชีวิต  รอแต่การเกิดใหม่รอโอกาสแก้ตัว  ชาติหน้าหวังใจว่า  ฉันจะตั้งใจเป็นคนดี  หรือบางคนถึขนาดต้องฆ่าตัวตาย  อย่าเลย !  ขณะที่เข้าใจธรรมบรรยายนี้  คุณเกิดชาติใหม่แล้ว   ขอเชิญมาร่วมกันทำความดีเดี๋ยวนี้เถิด  คุณเกิดใหม่แล้ว  จริง ๆ !  การเกิด(ชาติ) การตาย (มรณะ) มีทุกขณะ  อย่างที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า  “ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าชาติไหน  วันนี้เดี๋ยวนี้  ก็เกิดตายอยู่ทุกขณะเวลา”)….. อ่านต่อ

 

ที่มา : พระอาจารย์มหาคารม  อุตฺตมปญฺโญ (นธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., ศศ.บ., กศ.ม.) ผู้ก่อตั้งชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ(พ.ศ.2547) ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสุวรรณโคมคำ(พ.ศ.2548) และสร้างทำธรรมสถานสุวรรณาภา. (พิมพ์ครั้งที่2 พ.ศ.2552). ธรรมะชนะชาตา. กรุงเทพฯ. อินเตอร์ พริ้นท์.